25 พ.ค. 2553
เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสสัมผัสแผ่นดิน ”มาเลเซีย” ก่อนมาถึงมาเลเซียในความรู้สึกคิดว่า เป็นประเทศอิสลามต่างศาสนากับเราจะไม่ปลอดภัยนัก ซ้ำก่อนหน้านี้ก็หาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต เลยทราบว่าติดสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยที่มีปัญหา ผู้ก่อการร้าย ฆ่ากันตายรายวัน
08.30น. เวลาท้องถิ่นมาเลาเซีย อาจารย์เจ้าอาวาสไปรับข้าพเจ้ากับท่านวิทยาฝั่งไทยข้ามมาประเทศมาเลเซีย
อาจารย์เจ้าอาวาสอัธยาศัยใจดี พูดแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับมาเลเซีย และนักเรียนของท่าน ปัญหาแรกเริ่มเล่าถึงความเป็นมาของตัวท่านและวัดที่ท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่
ไม่ถึงสามสิบนาที รถคันเล็กสี่ที่นั่งเต็มพร้อมผู้โดยสาร เลี้ยวขวา มีบ้านเรือนห่างบางตาอยู่ตามแยก ข้าพเจ้ามองเห็นถนัดชัดไกลตาภูเขาหินและป่ารกชัฏด้วยไม้หนาทึบ ขอบถนนเขียวสะขาด สองสามนาทีจึงเห็นรถวิ่งสวนทางกัน ท้องฟ้าโปร่ง เมฆขาวพร่างพราวละเอียดงามตาผ่านภูเขาลูกที่สาม มีป่าปกใบดกหนา ลานหญ้าเรียบศาลาทรงไทยเห็นเด่นตา
รถเลี้ยวซ้ายนำผู้โดยสารถึงจุดมุ่งหมาย ถนนลาดยางสองเส้นมุ่งสู่ศาลา เกือบสามโมงเช้า ข้าพเจ้าเอาสัมภาระลง สอดส่ายตาไล่เลียงบริเวณรอบข้างตัวเองยืนอยู่ สำรวจความแปลกใหม่
อาจารย์เจ้าอาวาสพาไปห้องพักที่สร้างเหมือนห้องแถว ห้องโล่งด้านนอก ประตูทางเข้าและพระประธานตรงกันมีอาสน์สงฆ์ต่อกันเป็นห้องครัว เก็บ ถ้วย ชาม ข้าวของเครื่องใช้ หม้อ เตาไฟ ครบพร้อมนานัปการ สองห้องติดกันทางด้านเหนือพระประธาน เป็นที่อยู่ของข้าพเจ้าลักษณะตีไม้อัดกั้นเป็นสองห้อง ข้าพเจ้าเลือกมุมสุด เพราะห้องแรกประตูทางเข้าตรงกับประตู ทางไปห้องน้ำด้านหลัง ซึ่งข้าพเจ้าเรียนโหวงจุ้ยมา ประตูตรงกันนั้นไม่ดี จึงได้เลือกมุมเหนือสุดของอาคาร
จัดของเข้าที่แล้ว จึงเดินเล่นชมบรรยากาศบริเวณรอบวัด ที่ของวัดติดภูเขาทีน้ำตก สระบัวอยู่ชายเขาตะวันออกของวัด ปลาเยอะอุดมสมบูรณ์ ฝั่งนี้ของวัดสร้างกุฏิไม้สามหลัง ดอกหญ้าขึ้นสูงเท่าเข่า เดินผ่านต้องเลิกผ้าให้สูง มิฉะนั้น ดอกหญ้าติดผ้าจะทำให้ระคายเคือง พื้นที่ของวัดที่มองเห็นประมาณ 30-40 ไร่ ด้านหลังทิศตะวันออกของวัด เป็นสวนยางพารา อันปรากฏร่องรอยการกรีดยาวนาน
ได้เวลาฉันเพล 11.30 น. พระรวมกันที่ศาลาซึ่งเป็นอาคารเดียวกับที่ข้าพเจ้าพักนั่นเอง พระทั้งหมด 12 รูป รวมเจ้าอาวาสด้วย อาหารใต้ ปลาทูทอด ไข่เจียว ผัดผักบุ้ง น้ำพริก ต้มจืด ผะแนงเนื้อ ใส่ปิ่นโตเรียงยาวบนอาสน์สงฆ์ คือ เมนูแรกในมาเลเซีย
อากาศค่อนข้างร้อน ประกอบกับอาคารนี้ลมไม่ผ่านจึงนั่งเหงือตกกัน
หลังจากฉันเพลกันเสร็จ เวลาบ่ายสองของที่วัดนี่ จะมีเด็กๆ มาเรียนภาษาไทย
ตกเย็นข้าพเจ้ากับท่านวิทยาช่วยกันซักผ้า และจัดห้องอีกครั้ง เปลี่ยนเตียงนอนหันหัวไปทิศตะวันตก ซึ่งไทยเราถือมาก เพราะทิศตะวันตกมีแต่คนตายเท่านั้น ที่จะหันไปทิศนั้น ข้าพเจ้าจึงขอร้องให้ท่านวิทยาช่วยยกเตียงหันไปทิศเหนือ และตู้หนังสือ
20.00น. มีเด็กโตอายุราว สิบสามถึงสิบห้าปี มาเรียนธรรมศึกษา ตอนกลางวันจะมีพระมิใช่เจ้าอาวาสสอนภาษาไทย แต่คาบนี้จะเป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาสเป็นอาจารย์สอน เวลาเลิกเรียนสี่ทุ่ม เด็กกลับบ้านหมด อาจารย์เจ้าอาวาสมานั่งคุยกับกลุ่มเรา ซึ่งนั่งอยู่ใต้ร่มโพธิ์และประดู่ มีม้าหินอ่อนสามชุดตั้งอยู่ นานหลายชั่วโมงจนดึก ท่านบอกขอตัวไปพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้เช้ามีภาระต้องสึกพระใหม่
คืนนี้ ขอจบบันทึก เรื่องราวมาเลเซียไว้แค่นี้ก่อน 00.31น.
เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสสัมผัสแผ่นดิน ”มาเลเซีย” ก่อนมาถึงมาเลเซียในความรู้สึกคิดว่า เป็นประเทศอิสลามต่างศาสนากับเราจะไม่ปลอดภัยนัก ซ้ำก่อนหน้านี้ก็หาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต เลยทราบว่าติดสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยที่มีปัญหา ผู้ก่อการร้าย ฆ่ากันตายรายวัน
08.30น. เวลาท้องถิ่นมาเลาเซีย อาจารย์เจ้าอาวาสไปรับข้าพเจ้ากับท่านวิทยาฝั่งไทยข้ามมาประเทศมาเลเซีย
อาจารย์เจ้าอาวาสอัธยาศัยใจดี พูดแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับมาเลเซีย และนักเรียนของท่าน ปัญหาแรกเริ่มเล่าถึงความเป็นมาของตัวท่านและวัดที่ท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่
ไม่ถึงสามสิบนาที รถคันเล็กสี่ที่นั่งเต็มพร้อมผู้โดยสาร เลี้ยวขวา มีบ้านเรือนห่างบางตาอยู่ตามแยก ข้าพเจ้ามองเห็นถนัดชัดไกลตาภูเขาหินและป่ารกชัฏด้วยไม้หนาทึบ ขอบถนนเขียวสะขาด สองสามนาทีจึงเห็นรถวิ่งสวนทางกัน ท้องฟ้าโปร่ง เมฆขาวพร่างพราวละเอียดงามตาผ่านภูเขาลูกที่สาม มีป่าปกใบดกหนา ลานหญ้าเรียบศาลาทรงไทยเห็นเด่นตา
รถเลี้ยวซ้ายนำผู้โดยสารถึงจุดมุ่งหมาย ถนนลาดยางสองเส้นมุ่งสู่ศาลา เกือบสามโมงเช้า ข้าพเจ้าเอาสัมภาระลง สอดส่ายตาไล่เลียงบริเวณรอบข้างตัวเองยืนอยู่ สำรวจความแปลกใหม่
อาจารย์เจ้าอาวาสพาไปห้องพักที่สร้างเหมือนห้องแถว ห้องโล่งด้านนอก ประตูทางเข้าและพระประธานตรงกันมีอาสน์สงฆ์ต่อกันเป็นห้องครัว เก็บ ถ้วย ชาม ข้าวของเครื่องใช้ หม้อ เตาไฟ ครบพร้อมนานัปการ สองห้องติดกันทางด้านเหนือพระประธาน เป็นที่อยู่ของข้าพเจ้าลักษณะตีไม้อัดกั้นเป็นสองห้อง ข้าพเจ้าเลือกมุมสุด เพราะห้องแรกประตูทางเข้าตรงกับประตู ทางไปห้องน้ำด้านหลัง ซึ่งข้าพเจ้าเรียนโหวงจุ้ยมา ประตูตรงกันนั้นไม่ดี จึงได้เลือกมุมเหนือสุดของอาคาร
จัดของเข้าที่แล้ว จึงเดินเล่นชมบรรยากาศบริเวณรอบวัด ที่ของวัดติดภูเขาทีน้ำตก สระบัวอยู่ชายเขาตะวันออกของวัด ปลาเยอะอุดมสมบูรณ์ ฝั่งนี้ของวัดสร้างกุฏิไม้สามหลัง ดอกหญ้าขึ้นสูงเท่าเข่า เดินผ่านต้องเลิกผ้าให้สูง มิฉะนั้น ดอกหญ้าติดผ้าจะทำให้ระคายเคือง พื้นที่ของวัดที่มองเห็นประมาณ 30-40 ไร่ ด้านหลังทิศตะวันออกของวัด เป็นสวนยางพารา อันปรากฏร่องรอยการกรีดยาวนาน
ได้เวลาฉันเพล 11.30 น. พระรวมกันที่ศาลาซึ่งเป็นอาคารเดียวกับที่ข้าพเจ้าพักนั่นเอง พระทั้งหมด 12 รูป รวมเจ้าอาวาสด้วย อาหารใต้ ปลาทูทอด ไข่เจียว ผัดผักบุ้ง น้ำพริก ต้มจืด ผะแนงเนื้อ ใส่ปิ่นโตเรียงยาวบนอาสน์สงฆ์ คือ เมนูแรกในมาเลเซีย
อากาศค่อนข้างร้อน ประกอบกับอาคารนี้ลมไม่ผ่านจึงนั่งเหงือตกกัน
หลังจากฉันเพลกันเสร็จ เวลาบ่ายสองของที่วัดนี่ จะมีเด็กๆ มาเรียนภาษาไทย
ตกเย็นข้าพเจ้ากับท่านวิทยาช่วยกันซักผ้า และจัดห้องอีกครั้ง เปลี่ยนเตียงนอนหันหัวไปทิศตะวันตก ซึ่งไทยเราถือมาก เพราะทิศตะวันตกมีแต่คนตายเท่านั้น ที่จะหันไปทิศนั้น ข้าพเจ้าจึงขอร้องให้ท่านวิทยาช่วยยกเตียงหันไปทิศเหนือ และตู้หนังสือ
20.00น. มีเด็กโตอายุราว สิบสามถึงสิบห้าปี มาเรียนธรรมศึกษา ตอนกลางวันจะมีพระมิใช่เจ้าอาวาสสอนภาษาไทย แต่คาบนี้จะเป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาสเป็นอาจารย์สอน เวลาเลิกเรียนสี่ทุ่ม เด็กกลับบ้านหมด อาจารย์เจ้าอาวาสมานั่งคุยกับกลุ่มเรา ซึ่งนั่งอยู่ใต้ร่มโพธิ์และประดู่ มีม้าหินอ่อนสามชุดตั้งอยู่ นานหลายชั่วโมงจนดึก ท่านบอกขอตัวไปพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้เช้ามีภาระต้องสึกพระใหม่
คืนนี้ ขอจบบันทึก เรื่องราวมาเลเซียไว้แค่นี้ก่อน 00.31น.